การสืบพันธุ์ : แมว : ติดสัตว์
แมวตัวเมียจะแสดงพฤติกรรมร้องหง่าว ๆ กลิ้งตัวไปมาด้านข้าง สลับกับการยกก้นขึ้น พร้อมกับเบี่ยงหางไปทางด้านข้าง ร้องเรียกตัวผู้ตลอดเวลา ข้อพิสูจน์ง่ายๆ ว่าติดสัตว์หรือไม่ คือ เอามือเราไปตบบั้นท้าย ถ้ามันยกและร้องครางดังขึ้น ก็นั่นแหละค่ะ ชัวร์
แมวตัวผู้จะเข้ามาหาตัวเมีย ดมส่วนท้ายของร่างกาย อาจเดินวน รอบ ๆ ด้วยความสนใจ ส่งเสียงร้องตอบตัวเมีย แมวตัวเมียจะแสดงพฤติกรรมต่อต้านแมวตัวผู้อยู่บ้างใน ช่วงแรกอาจขู่ แต่สักครูหนึ่งจะยอมให้ตัวผู้เข้าใกล้ แมวตัวผู้จะเข้าหาแมวตัวเมีย และกัดหนังบริเวณต้นคอ ไว้ด้วยฟันขึ้นขี่ตัวเมียที่แสดงการงอหลังรับ ยกก้นขึ้น เบี่ยงหางไปด้านข้าง
เมื่ออวัยวะเพศผู้สอดใส่เข้าไปในช่องคลอดจะเป็นการกระตุ้นที่สำคัญต่อสรีระวิทยาระบบสืบพันธุ์โดยทำให้เกิดการตกไข่จากรังไข่เป็นการรับประกันว่าตัวเมียนั้นมีโอกาสตั้งท้องแน่นอนช่วงเวลาตั้งแต่การกัดคอคือการผสมจริงกินเวลาประมาณ 10 นาทีการผสมจริงเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที ซึ่งในสัญชาติญาณของสัตว์ป่า ที่ต้องการเอาตัวรอดจากการถูกศัตรูทำร้าย หลังรับการผสม ตัวเมียจะร้องครวญคราง อาจต้องการผสมอีก
หากตัวผู้ไม่ว่องไวพอ จะถูกตัวเมีย กัดได้จากนั้นตัวเมียจะแสดงพฤติกรรมการเลียส่วน อวัยวะเพศของตัวเอง กลิ้งตัวไปมาบนพื้น โดยมีตัวผู้ รออยู่ใกล้ ๆซึ่งตัวผู้อาจเลียตัวเองเช่นกัน จากนั้นตัวผู้จะพยาพยามผสมพันธุ์อีก หากไม่สำเร็จ จะพยายามอีกภายในเวลาไม่กี่นาที เป็นที่ทราบกันว่าแมวนั้นทำการผสมพันธุ์ในความถี่เฉลี่ยชั่วโมงละ 1 ครั้งในช่วง 36 ชั่วโมงที่เป็นช่วง การผสมพันธุ์หากมีแมวตัวผู้มากกว่า 1ตัว (เกิดขึ้นบ่อยๆในแมวเร่ร่อน) ตัวเมียอาจถูกตัวผู้มากกว่า 1 ตัวผสม ดังนั้นลูกครอกเดียวกันอาจเกิดจากคนละพ่อก็ได้
ลูกแมวตาย หลังคลอด ... ??
1. การคลอดจากแม่แมว พบว่าแมวที่คลอกยากหรือท้องนานเกินไปจะต้องมีปัญหาแน่นอน โดยอาจตายเพราะขาดอากาศ หรือบาดเจ็บทำให้ลูกแมวอ่อนแอไม่สามารถดูดนมได้ โดยเฉพาะน้ำนมเหลือง หรือบางครั้งแม่แมวอ้วนเกินไป ไม่มีน้ำนม เต้านมอักเสบทำให้ไม่มีน้ำนมเป็นต้น
2. น้ำหนักลูกแมวเมื่อแรกเกิดต่ำเกินไป เป็นสัญญาณเตือนว่าพัฒนาการของลูกแมวไม่สมบูรณ์ อุณหภูมิร่ายกายต่ำกว่าปกติ เสียน้ำ ระบบหายใจล้มเหลว สาเหตุของข้อนี้เนื่องมาจากแม่แมวผอม ขาดอาหาร
3. ลูกแมวผิดปกติแต่กำเนิด พบได้ 10-20 % ความผิดปกตินี้มาจากยีนที่บกพร่อง และสารบางตัวทำให้แมวพิการ เช่น สเตียรอยด์ ยากำจัดเห็บหมัด
4. ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เกิดจากเม็ดเลือดแดงของแมวถูกทำลายเนื่องจากภูมิคุ้มกันแม่ที่เข้าไปกัยน้ำนมเหลือง เมื่อลูกแมวดูดนมแล้วอาจตายเฉียบพลันหรือหยุดดูดนม ฉี่มีสีน้ำตาล ตัวเหี่ยว หายใจเร็ว โลหิตจางและตายในที่สุด แสดงอาหารตั้งแต่ 3 วัน - 2 สัปดาห์ ภาวะนี้พบในแม่แมวที่มีหมู่เลือด B ลูกแมวมีหมู่เลือด A
5. ได้รับอาหารไม่เหมาะสม การบำรุงแม่แมวก็จะมีผลต่อคุณภาพนม เพราะถ้าแม่แมวมีสุขภาพดี ก็จะผลิตน้ำนมที่คุณภาพดีได้ สังเกตจากลูกแมวเมื่ออายุ 10-12 วัน ควรมีน้ำหนักเป็น 2 เท่าของแรกเกิด อุณหภูมินม 35-38 C ช่วง 2 สัปดาห์แรกให้ทุก 3-4 ชม. เมื่อ 2-4 สัปดาห์ 6-8 ชมใ เมื่อ 3-4 สัปดาห์ อัตราส่วนนมต่อน้ำควรเป็น 1 ต่อ 1 ใส่จานไว้ให้ลูกแมวเลียได้ จากนั้นค่อยๆ ผสมอาหารลงในนม เพิ่มปริมาณเรื่อยๆ จนลูกแมวทานอาหารแข็งได้
6. สิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสม เช่น ความชื้น อุณหภูมิ การเสียน้ำ ความแออัด ความสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิจะเป็นตัวกระตุ้นให้ลูกแมวดูดนม หากอุณหภูมิต่ำลูกแมวนอนอย่างเดียว ทำให้ขาดสารอาหาร ลูกแมวนั้นจะค่อนข้างไวต่อการเสียน้ำ ลูกแมวต้องการน้ำ 130-220 มิลลิลิตร/กิโลกรัม/วัน ในขณะที่แมวปกติต้องการ 50-65 มิลลิลิตร/กิโลกรัม/วัน ครอกใหญ่เกินไปจะน้ำไปสู่การติดเชื้อ ได้รับอาหารไม่พอ ห้องที่เลี้ยงก็ควรระบายอากาศได้ดี อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 18-24 องศาเซลเซียส ความชื้น 55-60 % อุณหภูมิในครอก 29-30 องศาฯ
7. โรคติดเชื้อ โรคที่พบเกิดจากเชื้อไวรัสแบคทีเรีย และพยาธิ ปกติแล้วลูกแมวจะติดเชื้อไวรัสก่อนและแบคทีเรียตามมา จึงควรให้ลูกแมวได้กินน้ำนมเหลืองโดยเร็วเมื่อคลอดมา
อาหารแมวท้อง
อาหารที่ใช้เลี้ยงแมวกำลังตั้งท้องนั้นจะต้องมีคุณภาพสูง โปรตีนมาก ไขมันน้อย ขนาดและปริมาณที่ใช้ใน 5 ถึง 6 อาทิตย์แรกของการตั้งท้องพอ ๆ กับใช้เลี้ยงดูแมวโตเต็มวัยประจำวัน
แต่จะเพิ่มปริมาณอาหารให้มากขึ้นตามน้ำหนักตัวแมวในระยะ 3 อาทิตย์สุดท้ายก่อนคลอด คือเพิ่มอาหารให้ปริมาณ 10 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ก่อนคลอด 1 ถึง 2 วัน แม่แมวบางตัวมักไม่ค่อยกินอาหารหรือไม่กินเลยเพราะมัวตั้งหน้าตั้งตาหาสถานที่หรือกังวลอยู่กับลังคลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่แมวสาวท้องแรกแต่ถือเป็นเรื่องปกติ หลังคลอดลูกแล้วก็จะกินอาหารเอง
ข้อพึงระวังคืออย่าขุนจนแมวอ้วนเกินไปทำให้คลอดลำบาก หรือคุมอาหารเสียจนผอมไปไม่มีแรงเบ่งในการคลอด หลังจากคลอดแล้ว แม่แมวก็กลายเป็นแมวแม่ลูกอ่อน ซึ่งอาหารที่ใช้เลี้ยงแมวในช่วงนี้ไม่ได้ให้เฉพาะแต่แม่เท่านั้น มันต้องถ่ายทอดไปยังลูกแมวด้วยโดยการเปลี่ยนเป็นน้ำนม ฉะนั้นปริมาณอาหารที่แม่แมวกินจะต้องมีปริมาณเพียงพอเหมือนช่วงตั้งท้อง
จาก http://www.geocities.com/kunavut_mail/nutrition.html
การดูแลแมวหลังหย่านม
การหย่านมลูกแมวสามารถกระทำได้เมื่อลูกแมวอายุตั้งแต่ 4 สัปดาห์ ซึ่งระยะนี้ปริมาณน้ำนมจากแม่แมวจะลดน้อยลง แต่ก่อนทำการหย่านมต้องฝึกให้ลูกแมวกินอาหารเสริมก่อนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเมื่อหย่านม ลูกแมวจะเติบโตเต็มที่เมื่ออายุประมาณ 6-7 เดือน ตัวผู้มีน้ำหนักประมาณ3-5 กิโลกรัม ตัวเมียมีน้ำหนักประมาณ 2-3 กิโลกรัม
การดูแลลูกแมวกำพร้า
ลูกแมวที่เพิ่งเกิดมา 6 สัปดาห์นั้น ถ้าไม่ได้รับการดูแลจากแม่ส่วนมากจะตาย ลูกแมวที่อายุเกิน 6 สัปดาห์ จะสามารถกินอาหารแข็งแทนการดูดนมได้ แต่สำหรับลูกแมวที่อายุต่ำกว่า 6 สัปดาห์ จะต้องเลี้ยงด้วยน้ำนมเท่านั้นดังนั้น การเลี้ยงลูกแมวกำพร้าหรือลูกแมวที่แม่ไม่มีน้ำนมอาจจะใช้แม่สุนัขให้น้ำนมแทน เพราะส่วนประกอบของน้ำนมสุนัขกับน้ำนมแมวคล้ายกัน แต่แม่สุนัขตัวนั้นต้องไม่ดุ
อีกวิธีคือเจ้าของต้องทำตัวเป็นแม่แมวเสียเอง หลักในการช่วยเหลือลูกแมวมีดังนี้
1. ควรจัดให้ลูกแมวอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีอากาศอบอุ่นอย่าให้ลูกแมวหนาวสั่นในช่วงอายุ 1-5 วันแรก ที่อยู่ของลูกแมวควรเป็นกล่องหรือตะกร้า โดยปูด้วยผ้าหนาๆ ไม่ควรทำให้ลูกแมวตื่นในขณะหลับอยู่และเมื่อลูกแมวตื่นควรจะมีของเล่นอาจใช้ลูกบอลหรือหลอดด้ายก็ได้เปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้บ่อยๆเท่าที่จำเป็นตรวจดูอุจจาระของลูกแมวเสมอและคอยสังเกตความผิดปกติของลูกแมว
2. ให้ลูกแมวกินนมทดแทน สูตรอาหารนมทดแทนนั้นต้องมีคุณภาพเหมาะสมและเพียงพอกับความต้องการ (ดูในเรื่องอาหารลูกแมวกำพร้าแม่)
3. ควรให้อาหารครั้งละน้อยๆแต่บ่อยๆ ครั้งและเพิ่มขึ้นเป็นลำดับตามความต้องการของลูกแมวอุปกรณ์ และภาชนะที่ใช้ในการเตรียมน้ำนมทดแทนต้องสะอาดน้ำนมที่เตรียมขึ้นแต่ละครั้งต้องเก็บไว้ไม่นานกว่า 48 ชั่วโมงและควรเก็บไว้ในตู้เย็นเมื่อยังใช้ไม่หมดส่วนนมที่จะต้องนำ มาอุ่นก่อนให้มีอุณหภูมิประมาณ 101.5 องศาฟาเรนไฮด์(พออุ่นมือ) ซึ่งอุณหภูมินี้จะเท่ากับน้ำนมแม่แมวบรรจุน้ำนมลงในขวดนมที่มีจุกหัวนมใหญ่พอสมควรเพื่อที่ลูกแมวจะได้ไม่ต้องดูดแรงแต่ไม่ใหญ่จนลูกแมวสำลักนมพยายามถือขวดนมในลักษณะที่ลูกแมวไม่ดูดเอาอากาศเข้าไปมาก พยายามให้ลูกแมวดูดนมตอนแรกลูกแมวจะเมินหน้าหนี แต่พอมันหิวมันจะหาทางดูดเอง
4. ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ตามธรรมชาติลูกแมวที่มีอายุต่ำกว่า 4 สัปดาห์จะถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะได้จะต้องได้รับการกระตุ้นจากแม่แมวหลังกินอาหารแล้ว โดยการเลียที่บริเวณโคนหางที่อยู่เหนือทวารหนักแต่ลูกแมวกำพร้าไม่มีแม่เราจึงต้องช่วยหลังจากลูกแมวดูดนมจนอิ่มแล้ว ให้เอามือลูบเบาๆ ที่หลังหรือใข้ก้อนสำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ ที่บริเวณเหนือทวารหนัก เพื่อกระตุ้นให้ลูกแมวถ่ายอุจจาระและปัสสาวะออกมาได้
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=wimzaa&group=23